โรคเบาหวาน คืออาการเจ็บป่วยที่สามารถพบได้ค่อนข้างมากในประเทศไทย เป็นโรคที่มีสาเหตุจากน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าคนทั่วไป ทำให้ฮอร์โมนสำคัญอย่างอินซูลินที่คอยจัดการน้ำตาลนั้นมีประสิทธิภาพด้อยลง จนทำให้เกิดผลกระทบต่างๆ ในร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ระบบประสาท การไหลเวียนเลือด หรือแม้แต่อวัยวะภายในอย่างไต ทั้งหมดอาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ในระยะยาว
หากเป็นโรคเบาหวานแล้วผู้ป่วยจำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม มิเช่นนั้นร่างกายอาจมีโอกาสย่ำแย่ลงจนไม่สามารถแก้ไขได้ สิ่งสำคัญมากที่สุดในการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน คือ การระมัดระวังว่าอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อว่ามีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด โดยมีอาหารหลายประเภทที่คนป่วยไม่ควรทานเลย โดยบทความนี้จะบอกข้อมูลที่คุณควรรู้ เพื่อการระมัดระวัง และการรักษาร่างกายของผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
10 อาหารที่คนเป็นเบาหวานไม่ควรกิน ถ้าไม่อยากเสี่ยง !
ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ควรกินอาหารที่มีน้ำตาลในปริมาณที่สูง เพราะอาจส่งผลต่ออาการต่างๆ ได้ และนี่คือ 10 อาหารที่คนเป็นเบาหวานไม่ควรกิน
1. น้ำตาล
แน่นอนว่า น้ำตาล คืออาหารที่ผู้ป่วย และผู้มีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานควรงด หรือลดการทานให้น้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊ป น้ำตาลอ้อย หรือแม้แต่น้ำตาลสดที่เป็นเครื่องดื่ม
ที่สำคัญคือการ “ไม่ปรุง” อาหารต่างๆ ด้วยน้ำตาล เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักที่กระตุ้นให้เกิดโรค อีกทั้งน้ำตาลยังเป็นอาหารที่ไม่ได้ทำให้อิ่มท้อง และมีโอกาสที่จะกระตุ้นให้ผู้ป่วยทานสิ่งอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วย
2. เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล
รู้หรือไม่ว่า มนุษย์ไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชา หรือประมาณ 24 กรัม แต่เครื่องดื่มบางชนิดที่เราดื่มในแต่ละวันมักมีส่วนผสมของน้ำตาลซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรหลีกเลี่ยง เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำดื่มสำเร็จรูป หรือน้ำสมุนไพรที่ใส่น้ำตาลเพิ่มเติม ปริมาณน้ำตาลในน้ำประเภทดังกล่าว มีดังนี้
- โกโก้เย็น มีปริมาณน้ำตาล 10.8 ช้อนชา ต่อ 250 มิลลิลิตร
- ชามะนาว มีปริมาณน้ำตาล 12.6 ช้อนชา ต่อ 250 มิลลิลิตร
- น้ำอัดลม มีปริมาณน้ำตาล 8-9 ช้อนชา ต่อ 325-345 มิลลิลิตร
- นมถั่วเหลือง มีปริมาณน้ำตาล 2-7 ช้อนชา ต่อ 180-300 มิลลิลิตร
- นมกล่อง มีปริมาณน้ำตาล 2-4 ช้อนชา ต่อ 225-250 มิลลิลิตร
- กาแฟสำเร็จรูป มีปริมาณน้ำตาล 2.5 ช้อนชา ต่อ 1 ซอง
- ชานมไข่มุก มีปริมาณน้ำตาล 4-18.5 ช้อนชา ต่อ 173-451 กรัม
- นมช็อกโกแลตปรุงแต่ง มีปริมาณน้ำตาล 2-7 ช้อนชา ต่อ 180-225 มิลลิลิตร
หากเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือมีความเสี่ยง การดื่มน้ำสะอาดที่ปราศจากสารปรุงแต่ง จะเป็นสิ่งที่ส่งผลดีกับร่างกายมากที่สุด
3. ขนมหวาน
ขนมหวานถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของผู้ป่วย และผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน ไม่ว่าจะเป็นขนมไทย หรือขนมต่างประเทศ แม้จะมีรสชาติจะไม่หวานมาก แต่ก็อาจส่งอันตรายเกินกว่าที่คิด เนื่องจากขนมหวานเหล่านี้มักมีส่วนประกอบหลักคือของแป้ง ซึ่งถ้าเป็นผู้ป่วยไม่ได้มีการเผาผลาญพลังงาน หรือออกกำลังกายเป็นประจำ สารอาหารดังกล่าวก็มีโอกาสที่จะแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาลส่วนเกินภายในร่างกายได้ไม่ยาก
4. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ถึงแม้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ แต่ในมิกซ์เซอร์สำหรับปรุงเครื่องแอลกอฮอล์อย่าง น้ำอัดลม น้ำผลไม้ หรือน้ำหวาน นับว่ามีน้ำตาลสูงมาก อีกทั้งการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินมากกว่าคนทั่วไป จนเกิดอันตรายสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ดังนั้นผู้ที่เป็นเบาหวานจึงไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้นมปรุงแต่ง นมข้นหวาน
5. นมปรุงแต่ง นมข้นหวาน
นมที่ได้รับการปรุงแต่ง หรือนมข้นหวาน คืออีกหนึ่งอาหารคนเป็นเบาหวานไม่ควรกิน เพราะในเครื่องดื่มเหล่านี้มีส่วนผสมของน้ำตาลอยู่ในปริมาณมาก แต่ถ้าหากผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องการดื่มนม ก็สามารถดื่มนมรสจืดได้ แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่น้อย เพราะก็ยังเป็นเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลแลคโตสอยู่เช่นกัน หรือเลือกดื่มเป็นนมพร่องมันเนยจะดีต่อสุขภาพมากกว่า
6. ผลไม้แปรรูป
อีกหนึ่งอาหารที่คนเป็นเบาหวานไม่ควรกินคือ ผลไม้แปรรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ผลไม้กวน ดอง กระป๋อง หรือตากแห้ง เช่น เงาะกระป๋อง กล้วยตาก มะม่วงกวน เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้มีน้ำตาลผสมอยู่มาก ทำให้ผลไม้ที่มีรสชาติ และปริมาณน้ำตาลมากอยู่แล้วมีมากเพิ่มขึ้นไปอีก
7. ผลไม้รสหวาน
ถึงแม้ผลไม้จะมีประโยชน์สูง เพราะให้วิตามินซึ่งดีต่อสุขภาพร่างกาย แต่ก็ยังมีผลไม้บางชนิดที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ควรกิน เพราะมีน้ำตาลสูง เช่น
- อินทผลัม มีปริมาณน้ำตาล 1.04 ช้อนชา ต่อ 1 ลูก
- กล้วยไข่ มีปริมาณน้ำตาล 2.18 ช้อนชา ต่อ 1 ลูก
- กล้วยน้ำว้า มีปริมาณน้ำตาล 2.96 ช้อนชา ต่อ 1 ลูก
- กล้วยหอม มีปริมาณน้ำตาล 5.56 ช้อนชา ต่อ 1 ลูก
- สาลี่ มีปริมาณน้ำตาล 2.39 ช้อนชา ต่อ 1 ลูก
- ทุเรียน มีปริมาณน้ำตาล 0.71 ช้อนชา ต่อ 1 เม็ดเล็ก
แน่นอนว่ายังมีผลไม้อีกมากที่มีน้ำตาลมากกว่าที่คิด สำหรับผู้ป่วยเบาหวานควรมีการสอบถาม และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการเลือกอาหารรับประทานที่เหมาะกับตัวผู้ป่วยมากที่สุด
8. อาหารไขมันสูง
เหตุผลที่ผู้ป่วยไม่ควรรับประทานอาหารไขมันสูง โดยเฉพาะของทอด น้ำมัน กะทิ ไขมันสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีไขมันเยอะ หรือเครื่องในสัตว์ เพราะผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความเสี่ยงเป็นแทรกซ้อนอย่างโรคไขมันในเลือดสูงอยู่แล้ว ดังนั้น หากรับประทานไขมันเพิ่มในปริมาณมากอาจทำให้ความเสี่ยงของโรคเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว และยังอาจทำให้มีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกด้วย ซึ่งส่งผลต่อการรักษาและการดูแลตนเองในระยะยาว
9. น้ำผลไม้
ผลไม้เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่การนำผลไม้ไปแปรรูปให้กลายเป็นเครื่องดื่ม สิ่งที่หลงเหลืออยู่ส่วนใหญ่คือน้ำตาล ซึ่งส่งผลเสียต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน ดังนั้นหากคุณต้องการสารอาหารที่ครบถ้วน การทานผลไม้สดจึงทางเลือกที่ดีกว่าการดื่มน้ำผลไม้เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณน้ำตาลและจำนวนผลไม้ได้รับประทานไป
10. เนื้อสัตว์แปรรูป
ตามหลักโภชนาการแล้ว เนื้อสัตว์เป็นหนึ่งในแหล่งโปรตีนชั้นดีที่เราควรรับประทานอย่างสม่ำเสมอ แต่สำหรับเนื้อสัตว์แปรรูปอย่าง ไส้กรอก แฮม เบคอน ที่ผ่านการหมัก บ่ม รมควัน แล้ว คุณค่าทางโภชนาการมีน้อยกว่าเนื้อสัตว์ทั่วไปมาก
โดยไขมันอิ่มตัวที่ได้จากอาหารเหล่านี้ จะไปทำการยับยั้งอินซูลินให้ทำงานได้น้อยลง ส่งผลถึงการลดระดับน้ำตาลในเลือด อีกทั้งยังมีกระบวนการผลิตโดยใช้สารเคมีเพื่อถนอมอาหารให้สามารถเก็บได้อย่างยาวนานมากขึ้น อาจทำให้ผู้รับประทานมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและมะเร็งได้ และไม่ดีกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
สรุป
ผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ และอาหารที่ไม่ทำให้อาการของโรคกำเริบ เพราะการรับประทานอาหารโดยไม่มีความรู้อาจส่งผลให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูง และส่งผลกระทบต่อระบบร่างกายได้ และการรักษาโรคเบาหวานให้หายขาด ผู้ป่วยควรควบคุมอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกายและการรับประทานยาที่ถูกต้องตามแพทย์สั่ง
ยารักษาโรคเบาหวานก็สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายยา เพียงแต่อาจต้องค้นหาสักเล็กน้อย หรือถ้าหากคุณไม่มีเวลา MedCare ยินดีให้บริการปรึกษาและค้นหายาจากร้านขายยาใกล้บ้านเพื่อรับยาใน 1 ชั่วโมง เรามีบริการจัดหายาหายาก พร้อมทั้งบริการเติมยาสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง คุณจะไม่ต้องกังวลเรื่องยาหมดอีกต่อไป เพียงแอด LINE https://bit.ly/medcare-miniapp-blog หรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://medcare.asia/