
โดยยาที่ใช้มักจะมีฮอร์โมนที่ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งช่วยลดอาการของ PMS ได้ แต่การเลือกยาคุมกำเนิดควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงหรือข้อควรระวังตามสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล
ยาคุมกำเนิดที่มักถูกแนะนำสำหรับ PMS
1. ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptives) เช่น
– Yaz (ที่มีส่วนผสมของ Ethinyl estradiol และ Drospirenone)
– The Pill (ทั่วไปในหลายยี่ห้อ)
– Ortho Tri-Cyclen
2. ยาคุมชนิดโปรเจสเตอโรน (Progestin-only Pills) ในบางกรณีอาจถูกพิจารณา แต่ผลกระทบต่อ PMS อาจแตกต่างกันไป
อีกทั้งการใช้ยาคุมควรทำภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและคำแนะนำที่เหมาะสมกับคุณค่ะ หากคุณมีข้อสงสัยหรือประสบปัญหาเกี่ยวกับ PMS ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมค่ะ

ยาคุม Mercilon เป็นยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptive) ซึ่งประกอบด้วย Ethinyl estradiol และ Desogestrel ยาชนิดนี้สามารถช่วยบรรเทาอาการ PMS (Premenstrual Syndrome) และ PMDD (Premenstrual Dysphoric Disorder) ได้ในบางกรณี เนื่องจากการปรับสมดุลของฮอร์โมนสามารถช่วยลดอาการทางอารมณ์และร่างกายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาก่อนมีประจำเดือนได้
ความสามารถในการบรรเทาอาการ
1. PMS Mercilon อาจช่วยในการบรรเทาอาการทางอารมณ์ เช่น ความเครียดหรือซึมเศร้า และอาการทางร่างกาย เช่น ปวดท้อง
2. PMDD ในกรณีที่ผู้หญิงมีอาการ PMDD ที่รุนแรง การใช้ยาคุมนี้อาจช่วยในบางคน แต่ผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
การใช้ยาคุม Mercilon หรือยาคุมกำเนิดชนิดอื่น ๆ ควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อให้ได้รับการประเมินที่เหมาะสม การปรึกษาแพทย์จะช่วยในการกำหนดว่าคุณเหมาะสมกับการใช้ยาจะช่วยลดอาการ PMS หรือ PMDD หรือไม่ และเพื่อพิจารณาความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
11.การใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวหนัง เช่น สิว เป็นทางเลือกที่หลายคนพิจารณา เนื่องจากยาเหล่านี้สามารถช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งในบางกรณีสามารถลดการเกิดสิวได้ อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงถึงข้อดีและข้อเสีย รวมถึงฤทธิ์ข้างเคียงของยาที่อาจเกิดขึ้น
ควรพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณก่อนการใช้ยาคุมกำเนิด รวมถึงการพิจารณาวิธีการรักษาอื่น ๆ ที่อาจมีประสิทธิภาพสำหรับการรักษาสิวด้วย เช่น การใช้ยาทาสิวหรือการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและโภชนาการค่ะ
13.การใช้ยาคุมฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pills – ECP) ควรทำตามขั้นตอนและคำแนะนำอย่างระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด นี่คือลำดับขั้นตอนที่ควรทราบ:
วิธีการใช้ยา
1. เวลา ยาคุมฉุกเฉินต้องรับประทานภายใน 72 ชั่วโมง (3 วัน) หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกันหรือลืมใช้ถุงยางอนามัย และบางประเภทสามารถใช้ได้ถึง 120 ชั่วโมง (5 วัน) เช่น Ulipristal acetate (Ella).
2. การใช้ยา
– สำหรับ Plan B One-Step หรือยาคุมฉุกเฉินที่มี Levonorgestrel: ให้ทานยาทันทีที่มีโอกาส หลังมีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน โดยจะรับประทาน 1 เม็ดครั้งเดียว
– สำหรับ Ulipristal acetate (Ella): รับประทานครั้งเดียวในหนึ่งเม็ด
3. อาหาร ไม่จำเป็นต้องทานยากับอาหาร แต่ถ้าหากคุณมีอาการไม่สบายท้อง อาจทานกับอาหารเพื่อช่วยลดความรู้สึกไม่สบาย
ข้อควรระวัง
– ไม่ใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นวิธีการคุมกำเนิดหลัก ยาคุมฉุกเฉินไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้เป็นวิธีคุมกำเนิดประจำ โดยควรใช้เฉพาะในกรณีฉุกเฉิน
– ดูแลอาการข้างเคียงอาจมีอาการข้างเคียงเหมือนกับประจำเดือน เช่น คลื่นไส้ ปวดท้อง หรือเวียนศีรษะ หากมีอาการข้างเคียงที่รุนแรงหรือไม่หายไป ควรพบแพทย์
– การตรวจสอบการตั้งครรภ์ หากประจำเดือนของคุณไม่มาในเวลาที่คาดไว้หลังการใช้ยา อาจต้องทดสอบการตั้งครรภ์
คำแนะนำเพิ่มเติม
– หากมีคำถามหรือข้อกังวลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ยาคุมฉุกเฉิน หรือหากมีประวัติการแพ้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
– ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสมในอนาคตเพื่อลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ที่ไม่ต้องการ
การใช้ยาคุมฉุกเฉินอย่างรอบคอบและปลอดภัยจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณสามารถทำการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
ถ้าคุณกำลังทานยาคุมแบบรายเดือนอย่างสม่ำเสมอและทานตามคำแนะนำของแพทย์ ยาคุมฉุกเฉินจะไม่จำเป็นในกรณีทั่วไป แต่หากมีเหตุการณ์ที่อาจทำให้มีความเสี่ยง เช่น ลืมทานยา หรือมีการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกันในช่วงที่คุณคิดว่ามีความเสี่ยง ทางที่ดีที่สุดคือปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมตามสถานการณ์ของคุณด้วยค่ะ
ปรึกษาเภสัชกรจาก Medcare ร้านยาออนไลน์ 24 ชั่วโมง รับคำปรึกษากับเภสัชกรมืออาชีพผ่าน LINE Mini App ได้ทันที เพื่อให้คุณมั่นใจวิธีการใช้ยาคุม อย่างถูกต้องและปลอดภัย
