Latest Articles

10 วิธีแก้ไมเกรนด้วยตัวเอง ทั้งแบบเร่งด่วนและป้องกันระยะยาว

10 วิธีแก้ไมเกรน

ปวดหัวไมเกรนเป็นอาการที่ทรมานและส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วยจำนวนมาก หลายคนอาจพึ่งพายาแก้ปวดเป็นทางเลือกแรก แต่การรู้วิธีแก้ไมเกรนด้วยตัวเองที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณจัดการกับอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการบรรเทาอาการเฉพาะหน้าหรือการป้องกันในระยะยาว บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจกับอาการไมเกรนและเทคนิคการดูแลตนเองที่ใช้ได้จริง

เช็กอาการ: นี่คือ “ไมเกรน” หรือแค่ “ปวดหัว” ธรรมดา?

ก่อนจะเริ่มหาวิธีแก้ปวดหัวไมเกรนเบื้องต้น สิ่งสำคัญคือต้องแยกแยะให้ได้ว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไมเกรนจริง หรือเป็นเพียงอาการปวดหัวธรรมดา เพราะวิธีการดูแลรักษาของทั้งสองแบบนั้นแตกต่างกัน

อาการปวดหัวไมเกรนเป็นอย่างไร (ปวดตุ้บๆ, คลื่นไส้, แพ้แสง)

อาการไมเกรนมักจะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากปวดหัวทั่วไป โดยมักจะเป็นอาการปวดแบบตุ้บๆ หรือเต้นตามชีพจรข้างเดียวของศีรษะ ผู้ป่วยจะรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน และมีอาการแพ้แสงสว่างหรือเสียงดัง อาการมักจะรุนแรงจนทำให้ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ และอาจกินเวลานานตั้งแต่ 4 ชั่วโมงจนถึง 3 วัน

สัญญาณเตือนไมเกรน (Migraine Aura)

บางคนอาจมีสัญญาณเตือนก่อนเกิดอาการปวดหัวไมเกรน เรียกว่า Aura ซึ่งอาจเป็นการมองเห็นแสงวูบวาบ เส้นคดๆ หรือจุดบอด บางครั้งอาจรู้สึกชาหรือเสียวซ่าบริเวณแขนหรือใบหน้า สัญญาณเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นประมาณ 20-60 นาทีก่อนที่จะเริ่มปวดหัว

ปวดหัวแบบอื่น (Tension, Cluster) ต่างกันอย่างไร

ปวดหัวจากความตึงเครียด (Tension Headache) จะมีลักษณะเป็นอาการรัดแน่นรอบศีรษะ ไม่เป็นแบบตุ้บๆ และมักไม่มีอาการคลื่นไส้หรือแพ้แสง ส่วนปวดหัว Cluster Headache จะปวดรุนแรงมากบริเวณรอบดวงตาข้างเดียวและเกิดเป็นช่วงๆ การรู้จักแยกแยะอาการเหล่านี้จะช่วยให้การดูแลรักษาตรงจุดมากขึ้น

Part 1: วิธีแก้ปวดหัวไมเกรน “เบื้องต้น” (บรรเทาอาการฉุกเฉิน)

เมื่ออาการไมเกรนเริ่มขึ้น การดำเนินการอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของอาการได้ วิธีแก้ปวดหัวไมเกรนเบื้องต้นต่อไปนี้สามารถทำได้ทันทีที่บ้านหรือที่ทำงาน

1. พักในที่มืดและเงียบทันที

ทันทีที่รู้สึกว่าไมเกรนกำลังจะมา ควรหาที่พักผ่อนในห้องที่มืดและเงียบ เพราะผู้ป่วยไมเกรนมักจะแพ้แสงและเสียง การลดสิ่งกระตุ้นเหล่านี้จะช่วยให้อาการดีขึ้นเร็วขึ้น นอนพักผ่อนในท่าที่สบาย ปิดม่านหรือใช้ผ้าปิดตาเพื่อกันแสง และพยายามผ่อนคลายร่างกายให้มากที่สุด

2. การใช้ผ้าประคบเย็น (Cold Compress)

การประคบเย็นบริเวณหน้าผาก ขมับ หรือท้ายทอยเป็นวิธีแก้ไมเกรนด้วยตัวเองที่ได้ผลดี เพราะความเย็นจะช่วยลดการอักเสบและชาบริเวณที่ปวด คุณสามารถใช้ผ้าชุบน้ำเย็น ถุงน้ำแข็ง หรือแผ่นเจลเย็นประคบเป็นเวลา 15-20 นาที บางคนอาจชอบประคบร้อนแทน ลองทดสอบว่าแบบไหนเหมาะกับตัวเองมากกว่า

3. จิบน้ำหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเล็กน้อย

การขาดน้ำอาจทำให้อาการไมเกรนแย่ลง ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำเกลือแร่เล็กน้อยเพื่อให้ร่างกายได้รับความชุ่มชื้น นอกจากนี้ คาเฟอีนในปริมาณเล็กน้อยจากกาแฟหรือชาอาจช่วยบรรเทาอาการได้ เพราะคาเฟอีนช่วยให้หลอดเลือดหดตัว แต่ต้องระวังไม่ให้ดื่มมากเกินไปเพราะอาจส่งผลเสียในภายหลัง

4. กดจุดนวดศีรษะและขมับ

การนวดเบาๆ บริเวณศีรษะ ขมับ และคอด้านหลังอาจช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อและบรรเทาอาการปวดได้ ใช้ปลายนิ้วกดและนวดเป็นวงกลมบริเวณที่ปวดหรือรู้สึกตึง การนวดจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและส่งเสริมการผ่อนคลาย

5. การใช้รักษาเบื้องต้น  (พาราฯ, ไอบูโพรเฟน)

ยาแก้ปวดที่ซื้อได้ทั่วไป เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน สามารถช่วยบรรเทาอาการไมเกรนเบื้องต้นได้ แต่ควรรับประทานตามขนาดที่แนะนำและไม่ควรใช้บ่อยเกินไป เพราะการใช้ยาแก้ปวดมากเกินไปอาจนำไปสู่ภาวะปวดหัวจากการใช้ยาเกิน (Medication Overuse Headache) หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับการใช้ยา สามารถปรึกษาเภสัชกรผ่านบริการออนไลน์อย่าง MedCare ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

วิธีแก้ไมเกรน

Part 2: วิธีแก้ไมเกรน “ด้วยตัวเอง” (ป้องกันระยะยาว)

นอกจากการบรรเทาอาการเฉพาะหน้าแล้ว การป้องกันไมเกรนในระยะยาวก็เป็นสิ่งสำคัญเท่าเทียมกัน วิธีแก้ไมเกรนด้วยตัวเองระยะยาวเหล่านี้จะช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการ

6. ตามล่าหา “ตัวกระตุ้น” (Trigger) ด้วย Migraine Diary

ไมเกรนของแต่ละคนมักมีตัวกระตุ้นที่แตกต่างกัน การจดบันทึกไมเกรนจะช่วยให้คุณเห็นรูปแบบและระบุตัวกระตุ้นได้ บันทึกรายละเอียดเช่น เวลาที่เกิดอาการ อาหารที่ทาน ระดับความเครียด รอบเดือน และปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เมื่อพบรูปแบบที่ชัดเจน คุณจะสามารถหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นเหล่านั้นได้

7. จัดการการนอนหลับ (Sleep Hygiene)

การนอนหลับที่ผิดปกติ ทั้งนอนน้อยหรือนอนมากเกินไป เป็นตัวกระตุ้นไมเกรนที่พบบ่อย จัดตารางการนอนให้สม่ำเสมอ นอนและตื่นในเวลาใกล้เคียงกันทุกวัน แม้ในวันหยุด สร้างบรรยากาศห้องนอนที่เอื้อต่อการพักผ่อน หลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอก่อนนอน และพยายามนอนให้ได้ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน

8. ปรับการกิน: อาหารที่ควรเลี่ยง และอาหารที่ช่วยลดไมเกรน

อาหารบางชนิดอาจเป็นตัวกระตุ้นไมเกรน เช่น ช็อกโกแลต เนยแข็งบางชนิด ผลไม้ส้ม ไวน์แดง และอาหารที่มีผงชูรส (MSG) ในทางกลับกัน ควรรับประทานอาหารที่สมดุล ไม่ข้ามมื้อ และเพิ่มอาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียม เช่น ถั่ว ผักใบเขียว และธัญพืชเต็มเมล็ด

9. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (แต่ไม่หักโหม)

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเครียดและป้องกันไมเกรน แต่ต้องเริ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไป การออกกำลังกายหักโหมเกินไปอาจกลับกลายเป็นตัวกระตุ้นไมเกรนได้ เลือกกิจกรรมที่เหมาะสม เช่น เดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะ ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์

10. จัดการความเครียด (ฝึกสมาธิ, โยคะ)

ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นไมเกรนที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่ง เรียนรู้เทคนิคการจัดการความเครียด เช่น การฝึกหายใจลึก การทำสมาธิ โยคะ หรือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การหาเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ชอบจะช่วยลดระดับความเครียดและลดโอกาสเกิดไมเกรนได้

ตัวกระตุ้นไมเกรน (Migraine Triggers) ที่พบบ่อย

การรู้จักตัวกระตุ้นไมเกรนจะช่วยให้คุณวางแผนหลีกเลี่ยงและป้องกันอาการได้ดีขึ้น แต่ละคนอาจมีตัวกระตุ้นที่แตกต่างกัน แต่มีบางอย่างที่พบบ่อย

กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (ไวน์แดง, ช็อกโกแลต, MSG)

อาหารและเครื่องดื่มเป็นตัวกระตุ้นที่พบบ่อยมาก ไวน์แดงมีสารทีรามีน และสารซัลไฟต์ที่อาจก่อให้เกิดไมเกรน ช็อกโกแลตมีคาเฟอีนและสารเฟนิลเอทิลามีน เนยแข็งโบราณและเนื้อสัตว์แปรรูปก็มีทีรามีนสูง อาหารที่ใส่ MSG เช่น อาหารจีนบางชนิดก็เป็นตัวกระตุ้นที่ควรระวัง นอกจากนี้ การงดอาหารหรือข้ามมื้อก็เป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญ

ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (แสงจ้า, กลิ่นฉุน)

สิ่งแวดล้อมรอบตัวมีผลต่อการเกิดไมเกรนมาก แสงสว่างจ้า แสงกะพริบ หรือแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นตัวกระตุ้นที่พบบ่อย กลิ่นฉุนแรง เช่น น้ำหอม สีทาบ้าน หรือควันบุหรี่อาจก่อให้เกิดอาการได้ การเปลี่ยนแปลงของอากาศ ความดันอากาศ ความชื้น หรืออุณหภูมิก็มีผลเช่นกัน

ปัจจัยด้านฮอร์โมน (รอบเดือน)

ผู้หญิงมักพบว่าไมเกรนเกิดขึ้นในช่วงก่อนหรือระหว่างประจำเดือน โดยเฉพาะในช่วงPMS (Premenstrual Syndrome) หรืออาการก่อนมีประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การตั้งครรภ์ วัยหมดประจำเดือน หรือการใช้ยาคุมกำเนิดก็อาจส่งผลต่อความถี่และความรุนแรงของไมเกรนได้เช่นกัน หากคุณสังเกตว่าไมเกรนมักเกิดขึ้นตามรอบเดือน การจดบันทึกอาการจะช่วยให้คุณวางแผนป้องกันและเตรียมรับมือได้ดีขึ้น

สัญญาณอันตราย: เมื่อไหร่ที่การแก้ไมเกรนด้วยตัวเอง “ไม่พอ” และต้องพบแพทย์

แม้จะมีวิธีแก้ไมเกรนด้วยตัวเองมากมาย แต่บางครั้งอาการอาจต้องการการดูแลจากแพทย์ การรู้จักสัญญาณเตือนอันตรายเป็นสิ่งสำคัญ

ปวดหัวรุนแรงที่สุดในชีวิต (Thunderclap headache)

หากคุณรู้สึกปวดหัวรุนแรงที่สุดที่เคยมีมาในชีวิต โดยเฉพาะอาการที่เกิดขึ้นทันทีทันใดภายในไม่กี่วินาที นี่อาจเป็นสัญญาณของภาวะฉุกเฉิน เช่น เลือดออกในสมอง ต้องรีบพบแพทย์ทันที

ปวดหัวร่วมกับมีไข้ คอแข็ง หรือชัก

หากปวดหัวพร้อมกับมีไข้สูง คอแข็ง สับสน ชัก หรือมีอาการทางระบบประสาทอื่นๆ เช่น พูดไม่ชัด แขนขาอ่อนแรง หรือมองเห็นผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคติดเชื้อในสมองหรือโรคร้ายแรงอื่นๆ

อาการเปลี่ยนไปจากเดิม

หากลักษณะการปวดหัวเปลี่ยนไป เช่น ปวดบ่อยขึ้น รุนแรงขึ้น ยาที่เคยใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป หรือมีอาการใหม่ๆ เกิดขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม หากต้องการคำปรึกษาเบื้องต้น คุณสามารถใช้บริการปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรออนไลน์ผ่าน MedCare ได้สะดวกผ่าน LINE โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอป

สรุปวิธีรับมือไมเกรนด้วยตัวเอง

วิธีแก้ไมเกรนด้วยตัวเองประกอบด้วยทั้งการบรรเทาอาการฉุกเฉินและการป้องกันระยะยาว เมื่อมีอาการ ให้พักในที่มืดเงียบ ประคบเย็น ดื่มน้ำ และพิจารณาใช้ยาแก้ปวดเบื้องต้น สำหรับระยะยาว ให้จดบันทึกตัวกระตุ้น ปรับการนอน การกิน ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด แต่อย่าลืมว่า หากอาการรุนแรงหรือผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันทีหากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการหรือการใช้ยา MedCare พร้อมให้บริการปรึกษาเภสัชกรออนไลน์ 24 ชม และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านระบบออนไลน์ที่สะดวกสบาย ไม่ต้องดาวน์โหลดแอป เพียงใช้บริการผ่าน LINE ก็สามารถรับคำปรึกษาได้ทันที พร้อมบริการจัดส่งยาถึงบ้านภายใน 1 ชั่วโมง* ดูแลสุขภาพของคุณได้ง่ายๆ ผ่านปลายนิ้ว ตลอด 24 ชั่วโมง