
อาการปวดกล้ามเนื้อเป็นปัญหาสุขภาพที่หลายคนต้องเผชิญ โดยเฉพาะคนทำงานออฟฟิศ นักกีฬา หรือผู้ที่ต้องใช้แรงงานเป็นประจำ การเลือกใช้ยาที่ถูกต้องและเหมาะสมกับอาการจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะยาทั้งชนิดทาและชนิดทานต่างก็มีกลไกการรักษาที่แตกต่างกัน
บทความนี้ ภญ.ศกุนตลา แก้วจินดา เภสัชกรหญิงผู้เชี่ยวชาญและมากประสบการณ์ประจำ MedCare จะมาให้ความรู้และเจาะลึกว่ายาคลายกล้ามเนื้อยี่ห้อไหนดี และยาคลายเส้นยี่ห้อไหนที่เหมาะสำหรับอาการของคุณ พร้อมเปรียบเทียบข้อดี-ข้อสังเกตแบบละเอียด เพื่อให้คุณเลือกใช้งานได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และตรงจุดมากที่สุด
ปวดแบบไหน? เลือกยาให้ถูกประเภท
การเลือกยาที่เหมาะสมเริ่มต้นจากการวิเคราะห์อาการอย่างถูกต้อง เพราะยาแต่ละประเภทมีจุดประสงค์และการใช้งานที่แตกต่างกัน
ยาทา (ยาคลายเส้น) vs. ยาทานใช้เมื่อไหร่?
ยาทาหรือยาคลายเส้นจะเหมาะสำหรับการรักษาอาการปวดเฉพาะที่ เช่น ปวดคอ ปวดไหล่ หรือปวดหลังเฉียบพลัน ส่วนยาทาน (ยาชนิดรับประทาน) จะมีฤทธิ์กระทำจากภายใน เหมาะสำหรับอาการปวดที่รุนแรงขึ้น หรือมีอาการติดต่อกันหลายพื้นที่
สาเหตุของอาการปวดที่ต้องคำนึงถึง
สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าอาการปวดเกิดจากการออกแรงมากเกินไป การบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย หรือจากความเครียดที่สะสม เพราะแต่ละสาเหตุจะมีแนวทางการรักษาที่แตกต่างกัน
หากคุณไม่แน่ใจว่าอาการที่เป็นอยู่รุนแรงแค่ไหน ควรเลือกใช้ยาตัวใดดี คุณสามารถอ่านวิธี เช็กอาการปวดกับการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ เบื้องต้นได้ที่นี่ เพื่อประเมินว่าอาการปวดของคุณต้องใช้ยาชนิดใดถึงจะเห็นผลดีที่สุด

ยาชนิดรับประทาน
เมื่อยาทาไม่เพียงพอ หรืออาการปวดรุนแรงมาก ยาคลายกล้ามเนื้อชนิดรับประทานอาจเป็นทางเลือก แต่ยาเหล่านี้มีข้อควรระวังมากกว่า และต้องใช้ภายใต้การดูแลของเภสัชกรหรือแพทย์
ยาคลายกล้ามเนื้อชนิดรับประทานทำงานอย่างไร?
ยาคลายกล้ามเนื้อชนิดกินทำงานที่ระบบประสาทส่วนกลาง โดยยับยั้งสัญญาณประสาทที่ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว ส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัว และอาการปวดลดลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่ายาคลายกล้ามเนื้อออกฤทธิ์นานแค่ไหนและความรุนแรงของอาการในแต่ละบุคคล ดังนั้นยาคลายกล้ามเนื้อยี่ห้อไหนดี จึงต้องพิจารณาจากประสิทธิภาพและผลข้างเคียงด้วย
นอกจากประสิทธิภาพของตัวยาแล้ว การทานยาให้ถูกวิธีก็สำคัญมาก หลายคนสงสัยว่ายาคลายกล้ามเนื้อ กินตอนไหนถึงจะออกฤทธิ์ดีที่สุด และในกรณีที่มีอาการปวดไข้ร่วมด้วยยาคลายกล้ามเนื้อกินกับพาราได้ไหม การเข้าใจหลักการใช้อย่างถูกต้องจะช่วยให้ยาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากการใช้ยาผิดประเภท
เปรียบเทียบ 3 ยาคลายกล้ามเนื้อตัวดัง
- Norgesic เป็นยาคลายกล้ามเนื้อที่ได้รับความนิยมสูง เพราะประกอบด้วย Orphenadrine และ Paracetamol ให้ฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อและแก้ปวดในยาเดียว มีประสิทธิภาพดีในการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง โดยเฉพาะอาการปวดหลัง ปวดคอ และอาการปวดจากการบาดเจ็บ
- Mydocalm (Tolperisone) มีข้อดีคือผลข้างเคียงง่วงน้อยกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องทำงานในเวลากลางวัน
- Myonal (Eperisone) มีฤทธิ์กระทำต่อหลอดเลือดด้วย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด
การเลือกใช้ยาแต่ละชนิดต้องพิจารณาอาการ ความรุนแรง และกิจกรรมประจำวัน ไม่ควรใช้ยาเหล่านี้ต่อเนื่องนานเกิน 2-3 สัปดาห์ โดยไม่ปรึกษาเภสัชกร
ผลข้างเคียงที่อาจพบ
ยา Norgesic จริงๆ แล้วมีความปลอดภัยสูงและผลข้างเคียงน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับยาตัวอื่น เพราะมีส่วนผสมของ Paracetamol ที่ปลอดภัยกว่า NSAIDs และไม่ส่งผลกระทบต่อกระเพาะอาหาร การใช้งานระยะสั้นถึงกลางจึงปลอดภัยกว่า อย่างไรก็ตาม การศึกษาข้อมูลผลข้างเคียงยาคลายกล้ามเนื้อในภาพรวมจะช่วยให้คุณสังเกตอาการผิดปกติและใช้งานยาได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น และเมื่อเปรียบเทียบ Norgesic vs Mydocalm vs Myonal จะพบว่า Mydocalm อาจมีผลต่อระบบหัวใจในผู้ป่วยบางกลุ่ม เนื่องจากมีรายงานความเสี่ยงของการเกิดปฏิกิริยาภูมิไวเกิน (Hypersensitivity) ที่รุนแรงถึงขั้นช็อก (Anaphylactic shock) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ทำให้ความดันโลหิตตกและอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวได้ เป็นเหตุให้ต้อง มีการจำกัดข้อบ่งใช้ยาอย่างเข้มงวดในสหภาพยุโรป โดยอนุญาตให้ใช้เฉพาะในบางภาวะและต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น
ส่วน Myonal มีข้อควรระวังเรื่องปฏิกิริยากับยาอื่นที่สำคัญ เช่น ยาในกลุ่มที่กดระบบประสาทส่วนกลาง (CNS Depressants) ตัวอื่นๆ เช่น ยาแก้แพ้ที่ทำให้ง่วง, ยาคลายกังวล, ยานอนหลับ, รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง การใช้ร่วมกับยาอื่นที่มีฤทธิ์เดียวกันจะยิ่งเสริมฤทธิ์กัน ทำให้เกิดอาการง่วงซึม, วิงเวียน, และบั่นทอนความสามารถในการตัดสินใจหรือการควบคุมร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
อีกทั้ง Norgesic ยังมีข้อดีคือลดความเสี่ยงจากการใช้ยาหลายชนิดพร้อมกัน เพราะให้ทั้งฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อและแก้ปวดในยาเดียว ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องกินยาแก้ปวดเพิ่ม

เจาะลึกยาใช้ภายนอกบรรเทาปวดเฉพาะที่
ยาทาหรือยาคลายเส้นเป็นตัวเลือกแรกที่หลายคนนิยมใช้ เพราะปลอดภัยกว่าและมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาทาน การเลือกใช้ยาทาแต่ละชนิดต้องเข้าใจกลไกการทำงานด้วย
กลไกการออกฤทธิ์
ยาทาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกคือ Counter-irritant ที่สร้างความรู้สึกร้อนหรือเย็นเพื่อเบี่ยงเบนความรู้สึกปวด เช่น Mentholatum หรือ Counterpain กลุ่มที่สองคือ NSAIDs ที่ลดการอักเสบโดยตรง เช่น Voltaren หรือ Fastum Gel
สูตรร้อน และสูตรเย็นควรใช้เมื่อไหร่?
สูตรเย็นเหมาะสำหรับการบาดเจ็บเฉียบพลัน ภายใน 24-48 ชั่วโมงแรก ส่วนสูตรร้อนเหมาะสำหรับอาการปวดเรื้อรังยาคลายเส้นยี่ห้อไหนดีขึ้นอยู่กับความต้องการ หากต้องการความเย็น Mentholatum จะดี หากต้องการความอบอุ่น Counterpain จะเหมาะสม
เปรียบเทียบ 6 ยาทาแก้ปวดกล้ามเนื้อยอดนิยม
- Voltaren Gel – ฤทธิ์ต้านอักเสบดีเยี่ยม เหมาะสำหรับอาการปวดที่มีการอักเสบ
- Fastum Gel – ซึมซาบได้ดี ไม่เหนียวเหนอะหนะ
- Counterpain – ให้ความรู้สึกร้อนสบาย เหมาะสำหรับอาการปวดเรื้อรัง
- Mentholatum – ให้ความรู้สึกเย็นสดชื่น เหมาะสำหรับการบาดเจ็บใหม่
- Salonpas – มีทั้งแบบแปะและแบบทา ใช้งานสะดวก
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
กินยาคลายกล้ามเนื้อร่วมกับยาแก้ปวด (NSAIDs) ได้ไหม?
โดยทั่วไปสามารถใช้ร่วมกันได้ แต่ต้องระวังเรื่องผลข้างเคียงที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอาการง่วงและผลกระทบต่อกระเพาะอาหาร ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้ยาร่วมกัน
ใครบ้างที่ไม่ควรใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ?
- ผู้ที่มีโรคหัวใจ โรคตับ โรคไต หญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร ไม่ควรใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
- ผู้ที่ขับขี่ยานพาหนะเป็นประจำ หรือทำงานที่ต้องใช้ความแม่นยำสูง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเหล่านี้ในช่วงเวลาทำงาน
สรุปบทความ
การเลือกยาคลายกล้ามเนื้อยี่ห้อไหนดี และยาคลายเส้นยี่ห้อไหนดีต้องพิจารณาหลายปัจจัย ได้แก่ ความรุนแรงของอาการ ลักษณะของการบาดเจ็บ และไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน
สำหรับอาการเบา ๆ ยาทาอาจเพียงพอ แต่หากอาการรุนแรง ยาชนิดรับประทานอย่างยา Norgesic อาจจำเป็น ทั้งนี้ การปรึกษาเภสัชกรจะช่วยให้คุณเลือกยาได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยหากคุณต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับยาคลายกล้ามเนื้อ สามารถปรึกษาเภสัชกรมืออาชีพผ่าน Line Mini App ซึ่งเป็นบริการของ MedCare ร้านยาออนไลน์ เปิดตลอด 24 ชั่วโมง สามารถสั่งยาออนไลน์ และรอรับยาได้ในเวลาอันรวดเร็วเพื่อความสะดวกและปลอดภัยสูงสุดของผู้ใช้บริการ

