
ยาคุมกำเนิดเป็นหนึ่งในวิธีการคุมกำเนิดที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ แต่ยังมีประโยชน์ในการช่วยจัดการกับสภาวะสุขภาพบางอย่างของผู้หญิง เช่น อาการปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรืออาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ 1 บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นคู่มือที่ครอบคลุม ชัดเจน และเข้าใจง่าย เกี่ยวกับวิธีกินยาคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดและมีความปลอดภัย การกินยาคุมกำเนิดอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 99%
ยาคุมกำเนิดคืออะไร? รู้จักประเภทและการทำงานเบื้องต้น
ยาคุมกำเนิด หรือยาเม็ดคุมกำเนิด เป็นยาที่ประกอบด้วยฮอร์โมนเพศหญิง ได้แก่ เอสโตรเจน (Estrogen) และ/หรือ โปรเจสติน (Progestin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่เลียนแบบการทำงานของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ในร่างกาย ยาเหล่านี้ออกฤทธิ์เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ผ่านกลไกหลักๆ ดังนี้
- การยับยั้งการตกไข่ (Preventing Ovulation): ฮอร์โมนในยาคุมจะไปยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองที่กระตุ้นให้ไข่สุกและตกจากรังไข่ เมื่อไม่มีการตกไข่ การปฏิสนธิจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้
- การทำให้มูกบริเวณปากมดลูกเหนียวข้นขึ้น (Thickening Cervical Mucus): ยาคุมกำเนิดทำให้มูกที่ปากมดลูกมีความเหนียวข้นกว่าปกติ ทำให้อสุจิเคลื่อนที่ผ่านเข้าไปในโพรงมดลูกเพื่อไปพบกับไข่ได้ยากขึ้น
- การทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลง (Thinning the Uterine Lining): ฮอร์โมนในยาคุมมีผลทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลง ไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของตัวอ่อนในกรณีที่อาจมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น
การทำความเข้าใจกลไกเหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้ตระหนักถึงประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดเมื่อใช้อย่างถูกต้อง และเห็นภาพว่ายาทำงานอย่างไรในร่างกาย
ประเภทของยาเม็ดคุมกำเนิด
ยาเม็ดคุมกำเนิดที่ใช้กันโดยทั่วไปแบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ ได้ดังนี้:
- ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptives – COCs) ยาประเภทนี้ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสติน เช่น ยาคุม Synfonia (ซินโฟเนีย) ยาคุม Mercilon (เมอร์ซิลอน) หรือ ยาคุม Herz (เฮอร์ซ) ถือว่าใช้กันแพร่หลายและมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์
- ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (Progestin-Only Pills – POPs หรือ Minipills) ยาประเภทนี้มีเพียงฮอร์โมนโปรเจสตินเท่านั้น เช่น ยาคุม Slinda (สลินดา) CERAZETTE (ซีราเซท) EXLUTON (เอ็กซ์ลูตอน) เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ไม่สามารถใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ เช่น สตรีให้นมบุตร ผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่างที่เอสโตรเจนอาจส่งผลเสีย หรือผู้ที่ไวต่อผลข้างเคียงของเอสโตรเจน
- ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pills – ECPs) เป็นยาที่มีปริมาณฮอร์โมนสูง ใช้หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน หรือเมื่อวิธีการคุมกำเนิดอื่นล้มเหลว ไม่แนะนำให้ใช้เป็นวิธีการคุมกำเนิดแบบปกติ เนื่องจากประสิทธิภาพต่ำกว่าและมีผลข้างเคียงมากกว่ายาคุมกำเนิดแบบรายเดือน

เริ่มต้นกินยาคุมแผงแรก กินตอนไหนดีที่สุดเพื่อให้ได้ผลทันที?
การเริ่มต้นกินยาคุมกำเนิดแผงแรกอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้ยาออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วที่สุด
คำแนะนำโดยทั่วไป
- เริ่มต้นภายใน 1-5 วันแรกของการมีประจำเดือน: วิธีนี้เป็นวิธีที่แนะนำโดยทั่วไปและเป็นที่นิยมที่สุดโดยนับวันแรกที่มีประจำเดือนเป็นวันที่ 1
- ผลการคุมกำเนิด: หากเริ่มกินยาคุมภายในช่วงเวลานี้ (1-5 วันแรกของรอบเดือน) ยาจะสามารถออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้ทันที หรือเกือบทันที 5 ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย
- หากเริ่มหลังวันที่ 5 ของรอบเดือน: ในกรณีที่เริ่มกินยาคุมกำเนิดหลังจากวันที่ 5 ของการมีประจำเดือนไปแล้ว ควรใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัย เป็นเวลาอย่างน้อย 7 วันแรกของการกินยาเพื่อให้มั่นใจว่าระดับฮอร์โมนในร่างกายปรับตัวจนยาคุมสามารถออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่
คำแนะนำที่ปรากฏอยู่บ่อยครั้งให้ใช้วิธีการคุมกำเนิดเสริมเป็นเวลา 7 วัน หากไม่ได้เริ่มยาภายในช่วงเวลาที่เหมาะสม (เช่น 5 วันแรกของรอบเดือน) หรือหลังจากลืมกินยาเป็นเวลานานชี้ให้เห็นว่าร่างกายต้องการเวลาประมาณ 7 วันเพื่อให้ฮอร์โมนจากยาคุมปรับระดับจนสามารถยับยั้งการตกไข่หรือสร้างสภาวะที่ไม่เอื้อต่อการตั้งครรภ์ได้อย่างน่าเชื่อถือ ดังนั้น “กฎ 7 วัน” นี้จึงไม่ใช่เพียงคำแนะนำ แต่เป็นช่วงเวลาสำคัญอย่างยิ่งใน เพิ่มประสิทธิภาพการคุมกำเนิด การละเลยกฎนี้อาจเป็นสาเหตุทั่วไปที่ทำให้การคุมกำเนิดล้มเหลวได้ การเน้นย้ำถึงความสำคัญของกฎนี้ในบทความจึงเป็นสิ่งจำเป็น
วิธีกินยาคุมแต่ละประเภทให้ถูกต้อง (รายวัน, 21 เม็ด, 28 เม็ด)
หลังจากเริ่มต้นแผงแรกอย่างถูกวิธีแล้ว การกินยาคุมในแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอเป็นหัวใจสำคัญของประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด
วิธีกินยาคุมแบบรายวัน
- กินยา 1 เม็ด ในเวลาเดียวกันทุกวัน: นี่เป็นคำแนะนำที่สำคัญที่สุดและถูกเน้นย้ำในทุกแหล่งข้อมูล
- เหตุผล: การกินยาในเวลาเดียวกันทุกวันช่วยรักษาระดับฮอร์โมนในร่างกายให้คงที่สม่ำเสมอ ซึ่งจำเป็นต่อการยับยั้งการตกไข่อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยสร้างเป็นนิสัยและลดโอกาสในการลืมกินยา
- เคล็ดลับ: พยายามเชื่อมโยงการกินยาเข้ากับกิจวัตรประจำวันที่ทำเป็นประจำ เช่น หลังแปรงฟันตอนเช้า พร้อมอาหารเช้า หรือก่อนนอน การกินยาก่อนนอนอาจช่วยลดอาการข้างเคียงบางอย่าง เช่น คลื่นไส้ และเป็นช่วงเวลาที่หลายคนมักจะไม่ลืม
วิธีกินยาคุมแบบ 21 เม็ด
ยาคุมกำเนิดแบบแผงละ 21 เม็ด ทุกเม็ดในแผงจะเป็นยาฮอร์โมน
- วิธีรับประทาน: กินยาวันละ 1 เม็ด ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 21 วัน
- ทิศทางบนแผงยา: หากแผงยามีลูกศรหรือตัวเลขกำกับ ควรรับประทานตามลำดับนั้น
- หลังกินหมดแผง (21 วัน): ให้หยุดกินยาเป็นเวลา 7 วัน ในช่วง 7 วันนี้ ไม่ต้องกินยาใดๆ
- ประจำเดือน: โดยทั่วไป ประจำเดือน (withdrawal bleed หรือเลือดที่ออกจากการหยุดฮอร์โมน) จะมาในช่วงที่หยุดยา 7 วันนี้ โดยมักจะเริ่มมาประมาณ 1-3 วันหลังจากหยุดกินยา
- เริ่มแผงใหม่: ให้เริ่มกินยาคุมแผงใหม่ในวันที่ 8 หลังจากหยุดยาครบ 7 วันแล้ว (หรือนับเป็นวันที่ 29 จากการเริ่มแผงเดิม) โดยไม่ต้องสนใจว่าประจำเดือนจะยังมาอยู่หรือหยุดแล้วก็ตาม
วิธีกินยาคุมแบบ 28 เม็ด
ยาคุมกำเนิดแบบแผงละ 28 เม็ด มักจะประกอบด้วยยาฮอร์โมน 21-24 เม็ด และยาที่ไม่มีฮอร์โมน (เม็ดแป้ง หรือ placebo) อีก 4-7 เม็ดที่เหลือ
- วิธีรับประทาน: กินยาวันละ 1 เม็ด ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 28 วัน โดยรับประทานตามลูกศรหรือลำดับที่กำกับบนแผง
- หลังกินหมดแผง (28 วัน): เมื่อกินยาหมดแผง (ครบ 28 เม็ด) ให้เริ่มกินยาคุมแผงใหม่ต่อได้ทันทีในวันถัดไป โดยไม่ต้องเว้นระยะเวลาใดๆ
- ประจำเดือน: ประจำเดือน (withdrawal bleed) มักจะมาในช่วงที่กำลังกินยาเม็ดที่ไม่มีฮอร์โมน (เม็ดแป้ง) ซึ่งมักจะเป็นแถวสุดท้ายของแผง
การออกแบบแผงยาที่แตกต่างกันระหว่างแบบ 21 เม็ดและ 28 เม็ดนั้น มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับพฤติกรรมการใช้ยาของผู้ใช้ แผงยาแบบ 28 เม็ด (ที่มีเม็ดแป้ง) ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ใช้ยาแบบ 21 เม็ด นั่นคือ การลืมเริ่มยาแผงใหม่หลังจากช่วงหยุดยา 7 วัน ยาคุมกำเนิด แบบ 21 เม็ด ผู้ใช้ต้องหยุดยาเอง 7 วัน แล้วจึงเริ่มแผงใหม่ ซึ่งขั้นตอนนี้อาจทำให้เกิดการลืมได้ง่าย ในขณะที่ยาแบบ 28 เม็ด ผู้ใช้เพียงแค่กินยาทุกวันต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เม็ดแป้งช่วยคงพฤติกรรมการกินยาทุกวันไว้ ทำให้ลดโอกาสการลืมเริ่มแผงใหม่ นี่แสดงให้เห็นว่าสำหรับผู้ที่อาจมีปัญหาเรื่องการจดจำหรือการสร้างกิจวัตร ยาแบบ 28 เม็ดอาจหมาะสมกว่า และช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการคุมกำเนิดโดยรวม
กินยาคุมเวลาไหนดีที่สุด? และทำไมความสม่ำเสมอจึงสำคัญ
คำถามยอดฮิตหนึ่งคือ “ควรกินยาคุมเวลาไหนดีที่สุด?” คำตอบอาจไม่ได้เจาะจงเป็นเวลาที่ตายตัว แต่มีหลักการที่สำคัญกว่านั้น
เคล็ดลับในการเลือกเวลาและสร้างความสม่ำเสมอ
- ก่อนนอน: หลายคนพบว่าการกินยาก่อนนอนเป็นเวลาที่สะดวกและจำง่าย เพราะเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรที่ทำเป็นประจำ นอกจากนี้ การกินยาก่อนนอนยังอาจช่วยลดอาการข้างเคียงบางอย่างที่อาจเกิดขึ้น เช่น คลื่นไส้ ได้ด้วย
- พร้อมอาหารเช้า: สำหรับบางคน การกินยาพร้อมอาหารเช้าก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี เพราะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทำเป็นประจำทุกวัน
- ตั้งนาฬิกาปลุกหรือใช้แอปพลิเคชันช่วยเตือน: ในยุคปัจจุบัน การใช้เทคโนโลยีช่วยเตือนเป็นวิธีที่ได้ผลดีมาก สามารถตั้งนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์มือถือให้เตือนเวลาเดิมทุกวัน หรือใช้แอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเตือนการกินยาโดยเฉพาะ
- วางแผงยาในที่ที่เห็นได้ง่าย: เช่น ข้างแปรงสีฟัน หรือบนโต๊ะข้างเตียง เพื่อให้เห็นและไม่ลืม
ลืมกินยาคุม! สถานการณ์ฉุกเฉินและวิธีแก้ไขที่ถูกต้อง
การลืมกินยาคุมเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ และมักสร้างความกังวลใจให้กับผู้ใช้ สิ่งสำคัญคือต้องทราบวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อรักษาระดับการป้องกันการตั้งครรภ์ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
กรณีลืมกินยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Pills)
- ลืมกินยา 1 เม็ด (และนึกได้ภายในเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง นับจากเวลาที่ควรกินตามปกติ)
- ให้กินยาเม็ดที่ลืมทันทีที่นึกได้ แม้ว่านั่นหมายถึงการต้องกินยา 2 เม็ดในวันเดียวกันก็ตาม
- จากนั้นให้กินยาเม็ดที่เหลือในแผงต่อไปตามเวลาปกติ
- โดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย ยกเว้นกรณีที่ยาเม็ดที่ลืมนั้นอยู่ในช่วงสัปดาห์แรก (เม็ดที่ 1-7) ของแผง และมีการร่วมเพศโดยไม่ได้ป้องกันในช่วงนั้น อาจพิจารณาใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินร่วมด้วย
- ลืมกินยา 2 เม็ดขึ้นไป (หรือลืมกินยานานกว่า 48 ชั่วโมงขึ้นไป)
- ให้กินยาเม็ดล่าสุดที่ลืมทันทีที่นึกได้ ส่วนยาเม็ดที่ลืมก่อนหน้านั้นให้ทิ้งไป 7
- จากนั้นให้กินยาเม็ดฮอร์โมนที่เหลือต่อไปตามเวลาปกติ (อาจหมายถึงการกินยา 2 เม็ดในวันที่นึกได้)
- สำคัญมาก: ให้ใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัย เป็นเวลา 7 วันถัดไป
- หากลืมกินยาในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเม็ดยาฮอร์โมน (เช่น สัปดาห์ที่ 3 ของยาคุมแบบ 21 เม็ด หรือเม็ดที่ 15-21 ของยาคุมแบบ 28 เม็ด) ให้กินยาฮอร์โมนในแผงปัจจุบันให้หมด แล้วเริ่มยาแผงใหม่ในวันถัดไปทันที โดยไม่ต้องเว้นช่วงหยุดยาหรือกินเม็ดแป้ง
- หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันในช่วงที่ลืมกินยา หรือก่อนที่จะกินยาคุมต่อเนื่องครบ 7 วัน ควรพิจารณาใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน
กรณีลืมกินยาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (Progestin-Only Pills / Mini Pills)
ยาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยวมีช่วงเวลาที่ให้ลืมได้สั้นกว่ายาคุมชนิดฮอร์โมนรวมมาก
- โดยทั่วไป หากลืมกินยาเกิน 3 ชั่วโมง จากเวลาปกติ (สำหรับยาบางชนิด เช่น lynestrenol) หรือเกิน 12 ชั่วโมง (สำหรับยาบางชนิด เช่น desogestrel) ถือว่าประสิทธิภาพของยาอาจลดลง
- วิธีปฏิบัติเมื่อลืมกินยาเกินช่วงเวลาที่กำหนด:
- ให้กินยาเม็ดที่ลืมทันทีที่นึกได้ (กินเพียงเม็ดเดียวเท่านั้น แม้ว่าจะลืมกินหลายวันก็ตาม)
- จากนั้นให้กินยาเม็ดถัดไปตามเวลาปกติ
- ให้ใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย เช่น ถุงยางอนามัย เป็นเวลาอย่างน้อย 2 วันถัดไป หรือ 7 วันในบางกรณี
ตารางสรุป: ลืมกินยาคุม ต้องทำอย่างไร?
ประเภทของยาคุม | สถานการณ์การลืมกินยา | วิธีปฏิบัติ | การคุมกำเนิดเสริม (เช่น ถุงยางอนามัย) |
ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม | ลืม 1 เม็ด (นึกได้ใน < 48 ชม.) | กินเม็ดที่ลืมทันทีที่นึกได้ (อาจเป็น 2 เม็ดในวันเดียว) แล้วกินเม็ดต่อไปตามปกติ | โดยทั่วไปไม่จำเป็น เว้นแต่ลืมในสัปดาห์ที่ 1 และมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน อาจพิจารณา ECP |
ลืม 2 เม็ดขึ้นไป (นึกได้ใน ≥ 48 ชม.) | กินเม็ดล่าสุดที่ลืมทันที ทิ้งเม็ดที่ลืมก่อนหน้า กินเม็ดต่อไปตามปกติ | จำเป็นต้องใช้ เป็นเวลา 7 วัน | |
หากลืมในช่วงสัปดาห์ที่ 3 (เม็ดฮอร์โมน) ให้กินเม็ดฮอร์โมนที่เหลือให้หมด แล้วเริ่มแผงใหม่ทันที (ข้ามช่วงหยุดยา/เม็ดแป้ง) | จำเป็นต้องใช้ เป็นเวลา 7 วัน | ||
ยาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (Minipills) | ลืม 1 เม็ด (เกิน 3 ชม. หรือ 12 ชม. แล้วแต่ชนิดยา) | กินเม็ดที่ลืมทันที (เพียงเม็ดเดียว) แล้วกินเม็ดต่อไปตามปกติ | จำเป็นต้องใช้ เป็นเวลาอย่างน้อย 2 วัน (หรือตามคำแนะนำเฉพาะของยา) |
หมายเหตุ: ตารางนี้เป็นแนวทางทั่วไป ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร หรืออ่านเอกสารกำกับยาของผลิตภัณฑ์ที่ท่านใช้สำหรับคำแนะนำที่เฉพาะเจาะจง
คำแนะนำสำหรับการจัดการเมื่อลืมกินยาแสดงให้เห็นถึงระดับความรุนแรงของความเสี่ยงที่แตกต่างกัน การลืมกินยาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยวมีกรอบเวลาที่พลาดได้แคบกว่ายาคุมชนิดฮอร์โมนรวม 2 และการลืมกินยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมหลายเม็ดก็มีความเสี่ยงสูงกว่าการลืมเพียงเม็ดเดียว นอกจากนี้ การลืมกินยาในช่วงต้นของแผง (สัปดาห์ที่ 1) หรือก่อนช่วงที่ไม่มีฮอร์โมน (สัปดาห์ที่ 3) ก็มีความเสี่ยงเฉพาะตัว 6 เนื่องจากเป็นช่วงที่ใกล้กับช่วงที่ไม่มีฮอร์โมนหรือช่วงเริ่มต้นของการยับยั้งการตกไข่ การทำความเข้าใจลำดับชั้นของความเสี่ยงเหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้ตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดในช่วงเวลาต่างๆ และ ขึ้นอยู่กับยาคุมแต่ละประเภท
ผลข้างเคียงที่อาจพบจากการกินยาคุม และคำแนะนำเบื้องต้น
เช่นเดียวกับยาอื่นๆ ยาคุมกำเนิดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ในผู้ใช้บางราย อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงและจะค่อยๆ ดีขึ้นเองเมื่อร่างกายปรับตัวเข้ากับฮอร์โมน
ผลข้างเคียงทั่วไปที่อาจพบ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดศีรษะ
- เจ็บคัดเต้านม
- เลือดออกกะปริบกะปรอยทางช่องคลอด
- อารมณ์แปรปรวน
- การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว
- การเปลี่ยนแปลงของสิว
เมื่อไหร่ควรปรึกษาแพทย์ทันที (อาการข้างเคียงที่รุนแรง)
แม้จะพบได้น้อย แต่หากมีอาการรุนแรงต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- ปวดท้องรุนแรง
- เจ็บหน้าอกรุนแรง
- ปวดศีรษะรุนแรงผิดปกติ
- ตามัว มองเห็นภาพซ้อน หรือสูญเสียการมองเห็นอย่างกะทันหัน
- ปวดน่องหรือต้นขารุนแรง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการกินยาคุม (FAQ)
เพื่อให้ผู้ใช้มีความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการกินยาคุมกำเนิด นี่คือคำถามที่พบบ่อยพร้อมคำตอบ:
Q1: ต้องกินยาคุมนานแค่ไหนถึงจะคุมกำเนิดได้?
- A: หากเริ่มกินยาคุมภายใน 1-5 วันแรกของการมีประจำเดือน ยาจะสามารถออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้เกือบทันที หากเริ่มกินในช่วงเวลาอื่นของรอบเดือน ควรใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยเป็นเวลา 7 วันแรกของการกินยา เพื่อให้มั่นใจว่ายาออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว
Q2: ถ้าอาเจียนหรือท้องเสียรุนแรงหลังกินยาคุม ต้องทำอย่างไร?
- A: หากอาเจียนภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังจากกินยาเม็ดที่มีฮอร์โมน หรือมีอาการท้องเสียรุนแรง ยาอาจยังไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เต็มที่ให้รับประทานเม็ดใหม่ทันที และควรใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยจนกว่าจะกินยาคุมต่อเนื่องครบ 7 วันหลังจากอาการดีขึ้น
Q3: ยาคุมมีผลต่อน้ำหนักตัวจริงหรือ?
- A: ผู้หญิงบางรายอาจสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวเล็กน้อยเมื่อเริ่มกินยาคุม ซึ่งมักเกิดจากการคั่งของน้ำในร่างกายชั่วคราวมากกว่าการเพิ่มขึ้นของไขมันจริงๆ การศึกษาส่วนใหญ่ไม่พบว่ายาคุมกำเนิดสมัยใหม่ส่วนใหญ่ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวโดยเฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญ หากมีความกังวล ควรปรึกษาแพทย์
Q4: หยุดยาคุมแล้วจะตั้งครรภ์ได้เลยไหม?
- A: โดยทั่วไปแล้ว ภาวะเจริญพันธุ์จะกลับคืนสู่สภาพปกติค่อนข้างเร็วหลังจากหยุดกินยาคุม บางรายอาจตั้งครรภ์ได้ภายในเดือนแรกหลังหยุดยาหากยังไม่พร้อมที่จะตั้งครรภ์ ควรเริ่มใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นทันทีหลังจากหยุดยาคุม
Q5: กินยาคุมแล้วประจำเดือนมาไม่ปกติ/น้อยลง/ไม่มาเลย ผิดปกติไหม?
- A: เป็นเรื่องปกติที่ประจำเดือนจะมาน้อยลงหรือระยะเวลาสั้นลงเมื่อกินยาคุมในผู้ใช้บางราย โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยาคุมแบบต่อเนื่องหรือยาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยวบางชนิด ประจำเดือนอาจจะมาน้อยมาก หรืออาจจะไม่มีประจำเดือนเลย หากมีความกังวลหรือมีการเปลี่ยนแปลงของลักษณะประจำเดือนอย่างกะทันหัน ควรปรึกษาแพทย์
Q6: จำเป็นต้องหยุดพักการกินยาคุมเป็นระยะหรือไม่?
- A: สำหรับผู้ใช้ยาคุมกำเนิดสมัยใหม่ส่วนใหญ่ที่มีสุขภาพดี โดยทั่วไปแล้วไม่จำเป็นต้องหยุดพักการกินยาเป็นระยะๆ เพื่อ “พักร่างกาย” การกินยาคุมต่อเนื่องในระยะยาวภายใต้คำแนะนำของแพทย์ถือว่าปลอดภัย
Q7: ยาคุมกำเนิดป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่?
- A: ไม่ได้ ยาคุมกำเนิดช่วยป้องกันการตั้งครรภ์เท่านั้น แต่ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) เช่น HIV หนองใน หรือซิฟิลิสได้การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
หากคุณมีความจำเป็นต้องใช้ยาคุมควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มใช้ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นรับคำปรึกษากับเภสัชกรมืออาชีพผ่าน LINE Mini App ได้ทันที จากร้านยาออนไลน์ 24 ชม. เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยให้คุณได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมกับความต้องการของคุณ