
การตัดสินใจใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินอาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดและต้องการข้อมูลที่ชัดเจนอย่างเร่งด่วน บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจที่ครอบคลุม พร้อมแนะนำเกี่ยวกับวิธีการกินยาคุมฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pills หรือ ECPs) อย่างถูกวิธี มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยที่สุด โดยมุ่งหวังที่จะเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้สำหรับทุกคำถามที่ท่านอาจมี เพื่อให้สามารถตัดสินใจและดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างมั่นใจ
ยาคุมฉุกเฉินคืออะไร? ทำความเข้าใจเบื้องต้น
ยาคุมฉุกเฉิน หรือที่บางครั้งเรียกว่า “ยาคุมหลังมีเพศสัมพันธ์” (Morning-after pill) เป็นยาคุมกำเนิดชนิดพิเศษที่ใช้ หลังจาก การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน หรือเมื่อวิธีการคุมกำเนิดที่ใช้อยู่เกิดความผิดพลาด เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ยาเหล่านี้ประกอบด้วยฮอร์โมน ซึ่งมักจะมีความเข้มข้นสูงกว่ายาคุมกำเนิดแบบรายเดือนทั่วไป และถูกออกแบบมาเพื่อใช้ใน “กรณีฉุกเฉิน” หรือเป็น “วิธีสำรอง” เท่านั้น สิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ ยาคุมฉุกเฉิน ไม่ใช่ ยาคุมกำเนิดที่ใช้เป็นประจำทุกวัน และไม่ควรนำมาใช้แทนวิธีการคุมกำเนิดหลักในระยะยาว
ยาคุมฉุกเฉินป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างไร?
กลไกหลักของยาคุมฉุกเฉินส่วนใหญ่คือการออกฤทธิ์เพื่อชะลอหรือยับยั้งการตกไข่ (การปล่อยไข่ออกจากรังไข่) หากไม่มีการตกไข่ อสุจิก็จะไม่สามารถปฏิสนธิกับไข่ได้ ทำให้ไม่เกิดการตั้งครรภ์ นอกจากนี้ ยาคุมฉุกเฉินบางชนิดอาจมีผลต่อการเคลื่อนที่ของอสุจิ หรือความสามารถของอสุจิในการปฏิสนธิกับไข่ หรืออาจเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูก (endometrium) เพื่อทำให้ไข่ที่ปฏิสนธิแล้วไม่สามารถฝังตัวได้ อย่างไรก็ตาม การยับยั้งการตกไข่ถือเป็นกลไกสำคัญที่สุด และเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทราบว่าหากไข่ที่ปฏิสนธิแล้วได้ฝังตัวในผนังมดลูกแล้ว ยาคุมฉุกเฉินจะไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป
เมื่อไหร่ถึงควรใช้ยาคุมฉุกเฉิน?
การตัดสินใจใช้ยาคุมฉุกเฉินควรพิจารณาจากสถานการณ์เฉพาะหน้าและความจำเป็นเร่งด่วน
กรณีจำเป็นที่ควรพิจารณายาคุมฉุกเฉิน
ยาคุมฉุกเฉินมีบทบาทสำคัญในสถานการณ์ต่อไปนี้
- เมื่อมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน
- เมื่อวิธีการคุมกำเนิดที่ใช้อยู่เกิดความผิดพลาด เช่น ถุงยางอนามัยแตก รั่ว หลุด หรือใช้ไม่ถูกวิธี
- ลืมรับประทานยาคุมกำเนิดแบบรายเดือนตามปกติ (เช่น ลืมกินยา 2-3 เม็ดขึ้นไป หรือเริ่มแผงยาช้ากว่ากำหนด)
- ห่วงอนามัยหลุด หรือมีปัญหากับแผ่นแปะคุมกำเนิดหรือวงแหวนคุมกำเนิด (หากเป็นวิธีที่ใช้)
- ในกรณีถูกล่วงละเมิดทางเพศซึ่งไม่มีการป้องกันการตั้งครรภ์
สิ่งที่ต้องประเมินก่อนตัดสินใจใช้
ก่อนตัดสินใจใช้ยาคุมฉุกเฉิน ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
- ระยะเวลาตั้งแต่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน: ยิ่งรับประทานยาเร็วเท่าไร ประสิทธิภาพของยาก็จะยิ่งสูงขึ้น
- วันแรกของประจำเดือนครั้งล่าสุดและลักษณะรอบเดือนปกติ: เพื่อช่วยประเมินความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ และพิจารณาว่ายาคุมฉุกเฉินเหมาะสมหรือไม่ (เช่น หากกำลังตั้งครรภ์อยู่แล้ว หรือประจำเดือนขาดไปด้วยสาเหตุอื่น)
- ภาวะสุขภาพหรือโรคประจำตัว และยาที่ใช้อยู่: โรคบางชนิดหรือยาบางตัวอาจมีปฏิกิริยากับยาคุมฉุกเฉิน หรือทำให้ยาไม่เหมาะสมกับการใช้งาน (จะกล่าวถึงรายละเอียดในภายหลัง)
- ความเป็นไปได้ที่จะตั้งครรภ์อยู่แล้ว: ยาคุมฉุกเฉินไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้หากตั้งครรภ์อยู่แล้ว และไม่ใช่ยาทำแท้ง
การประเมินตนเองในเบื้องต้นนี้ แม้จะกระทำอย่างรวดเร็วในสถานการณ์เร่งด่วน ก็เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้ตระหนักถึงปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อการตัดสินใจ และเป็นการส่งเสริมความใส่ใจในสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ของตนเอง
ประเภทของยาคุมฉุกเฉิน และวิธีเลือกให้เหมาะสม
ยาคุมฉุกเฉินมีหลายประเภทในท้องตลาด การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างจะช่วยให้เลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่กำลังนำเสนอและมีจำหน่ายในประเทศไทย
ยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมน Levonorgestrel-based ECPs (ลีโวนอร์เจสเตรล)
ยาคุมฉุกเฉินชนิดนี้เป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุดและมีการกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง ลีโวนอร์เจสเตรลเป็นฮอร์โมนโปรเจสตินสังเคราะห์ มีจำหน่ายในสองรูปแบบหลัก:
แบบ 1 เม็ด (1.5 มก.)
ประกอบด้วยยาเม็ดเดียวที่มีลีโวนอร์เจสเตรล 1.5 มิลลิกรัม รับประทานเพียงครั้งเดียว
แบบ 2 เม็ด (เม็ดละ 0.75 มก.)
ประกอบด้วยยา 2 เม็ด แต่ละเม็ดมีลีโวนอร์เจสเตรล 0.75 มิลลิกรัม สามารถรับประทานพร้อมกันทั้ง 2 เม็ดเป็นครั้งเดียว (รวมเป็น 1.5 มิลลิกรัม) หรือรับประทานทีละเม็ดห่างกัน 12 ชั่วโมงก็ได้ การรับประทานพร้อมกันมักเป็นที่นิยมมากกว่าเนื่องจากความสะดวกและลดโอกาสลืมรับประทานยาเม็ดที่สอง
ยาคุมฉุกเฉินชนิด Ulipristal Acetate ECPs (ยูลิพริสตอล อะซิเตท)
ยูลิพริสตอล อะซิเตท เป็นยาในกลุ่ม selective progesterone receptor modulator ยาชนิดนี้อาจมีประสิทธิภาพในช่วงเวลาที่ยาวนานกว่าหลังการมีเพศสัมพันธ์ (สูงสุด 120 ชั่วโมง หรือ 5 วัน)
วิธีกินยาคุมฉุกเฉินแต่ละชนิดให้ได้ผลและปลอดภัยที่สุด
การรับประทานยาคุมฉุกเฉินอย่างถูกวิธีเป็นหัวใจสำคัญของประสิทธิภาพและความปลอดภัย
วิธีกินยาคุมฉุกเฉินแบบเม็ดเดียว (ลีโวนอร์เจสเตรล 1.5 มก.)
สำหรับวิธีกินยาคุมฉุกเฉินแบบเม็ดเดียว ให้รับประทานยา 1 เม็ด โดยเร็วที่สุด หลังการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน แต่ไม่ควรเกิน 72 ชั่วโมง (3 วัน) แม้ว่าบางแหล่งข้อมูลอาจระบุว่ายายังคงมีผลได้ถึง 120 ชั่วโมง (5 วัน) แต่ประสิทธิภาพจะลดลงตามเวลาที่ผ่านไป
วิธีกินยาคุมฉุกเฉินแบบ 2 เม็ด (ลีโวนอร์เจสเตรล 0.75 มก.)
สำหรับยาคุมฉุกเฉินชนิดลีโวนอร์เจสเตรล 0.75 มิลลิกรัม (บรรจุ 2 เม็ดต่อกล่อง) มีวิธีการรับประทาน 2 แบบ ซึ่งให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน:
- รับประทานพร้อมกัน 2 เม็ด: รับประทานยาทั้ง 2 เม็ด (รวมเป็น 1.5 มิลลิกรัม) พร้อมกันในครั้งเดียว โดยเร็วที่สุดภายใน 72 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ วิธีนี้มักจะแนะนำเนื่องจากความสะดวก และช่วยให้มั่นใจว่าได้รับยาครบถ้วน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่อาจมีความเครียดและอาจลืมรับประทานยาเม็ดที่สองได้
- รับประทานแยกกัน 2 ครั้ง: รับประทานยาเม็ดแรก (0.75 มิลลิกรัม) ภายใน 72 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ จากนั้นรับประทานยาเม็ดที่สอง (0.75 มิลลิกรัม) หลังจากเม็ดแรก 12 ชั่วโมง
ผลข้างเคียงที่อาจพบหลังกินยาคุมฉุกเฉิน และวิธีรับมือ
ยาคุมฉุกเฉินอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้บ้าง แต่โดยทั่วไปมักไม่รุนแรงและหายได้เอง
ผลข้างเคียงทั่วไปที่พบได้บ่อย
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยหลังการใช้ยาคุมฉุกเฉิน ได้แก่:
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- ปวดศีรษะ
- เวียนศีรษะ
- อ่อนเพลีย
- เจ็บหรือคัดตึงเต้านม
- ปวดท้องน้อย หรือปวดเกร็งท้อง
อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นในระยะสั้นๆ และจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1-2 วัน
อาการที่ควรปรึกษาแพทย์ทันที
แม้ว่าผลข้างเคียงรุนแรงจะพบได้น้อย แต่หากมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที:
- ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง (อาจเป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์นอกมดลูก แม้จะพบได้น้อย)
- มีเลือดออกทางช่องคลอดมากผิดปกติหรือเป็นเวลานาน
- หากประจำเดือนมาช้ากว่าปกติเกิน 1 สัปดาห์ (อาจบ่งชี้ถึงการตั้งครรภ์)
- อาการแพ้ยา (พบได้น้อยมาก) เช่น มีผื่นคัน บวมบริเวณใบหน้า ลิ้น หรือลำคอ เวียนศีรษะอย่างรุนแรง หายใจลำบาก
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรง หรือมีปัญหาการมองเห็น
ข้อควรระวังและข้อห้ามในการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
แม้ว่ายาคุมฉุกเฉินจะค่อนข้างปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีข้อควรระวังและข้อห้ามบางประการ
ไม่ควรกินยาคุมฉุกเฉินบ่อย
เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องเน้นว่ายาคุมฉุกเฉิน ไม่ได้มีไว้สำหรับใช้เป็นประจำหรือบ่อยครั้ง แนะนำว่าไม่ควรใช้ยาคุมฉุกเฉินเกิน 2 ครั้งต่อรอบเดือน หรือ 2 กล่อง (สำหรับยาชนิด 2 เม็ด) ต่อเดือนการใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อยครั้งอาจรบกวนรอบเดือนปกติ เพิ่มโอกาสเกิดผลข้างเคียง และที่สำคัญคือมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ต่ำกว่าวิธีการคุมกำเนิดแบบปกติที่ใช้เป็นประจำ
ไม่ควรใช้ยาคุมฉุกเฉินกับยาอื่นๆ
ยาบางชนิดอาจลดประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินได้ ซึ่งรวมถึง:
- ยารักษาโรคลมชักบางชนิด (เช่น เฟนิโทอิน, คาร์บามาเซพีน, บาร์บิทูเรต)
- ยารักษาวัณโรคบางชนิด (เช่น ไรแฟมพิซิน)
- ยาต้านไวรัสเอชไอวีบางชนิด (เช่น เอฟฟาไวเรนซ์, ริโทนาเวียร์)
- สมุนไพร เช่น เซนต์จอห์นเวิร์ต (St. John’s Wort)
- ยาต้านเชื้อรา เช่น กริซีโอฟูลวิน (Griseofulvin)
ผู้ที่กำลังใช้ยาเหล่านี้หรือยาอื่นๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์สมุนไพร ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนใช้ยาคุมฉุกเฉิน เพื่อประเมินความเสี่ยงและรับคำแนะนำที่เหมาะสม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการกินยาคุมฉุกเฉิน (FAQ)
เพื่อให้ผู้ใช้มีความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการกินยาคุมฉุกเกฉิน นี่คือคำถามที่พบบ่อยพร้อมคำตอบ
Q1: กินยาคุมฉุกเฉินตอนท้องว่างได้ไหม?
A: โดยทั่วไปแล้ว ยาคุมฉุกเฉินสามารถรับประทานได้ทั้งตอนท้องว่างหรือพร้อมอาหาร อย่างไรก็ตาม หากมีความกังวลเกี่ยวกับอาการคลื่นไส้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น การรับประทานยาพร้อมอาหารเบาๆ หรือการปรึกษาเภสัชกร/แพทย์เพื่อรับยาแก้คลื่นไส้ร่วมด้วย อาจช่วยลดอาการดังกล่าวได้
Q2: หากอาเจียนหลังกินยาคุมฉุกเฉิน ควรทำอย่างไร?
A: หากมีการอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมง (บางแหล่งข้อมูลระบุ 2-3 ชั่วโมง) หลังจากรับประทานยาคุมฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นแบบเม็ดเดียวหรือแบบสองเม็ด ควรรับประทานยาซ้ำในขนาดเดิมอีกครั้ง เนื่องจากยาอาจยังไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างสมบูรณ์ หากอาเจียนหลังจากรับประทานยาไปแล้วนานกว่า 2-3 ชั่วโมง โดยทั่วไปถือว่ายาได้ถูกดูดซึมแล้ว
Q3: ใครบ้างที่ไม่ควรกินยาคุมฉุกเฉิน?
A: ผู้ที่ไม่ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉิน หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ ได้แก่:
- ผู้ที่ยืนยันแล้วว่ากำลังตั้งครรภ์ (ยาคุมฉุกเฉินไม่มีผลและไม่ได้มีข้อบ่งใช้)
- ผู้ที่เป็นโรคตับชนิดรุนแรง
- ผู้ที่มีประวัติการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน โรคหัวใจรุนแรง ไมเกรนบางชนิดที่มีอาการเตือน (aura) หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
Q4: ยาคุมฉุกเฉิน = ยาทำแท้งใช่ไหม?
A: ไม่เป็นความจริง ยาคุมฉุกเฉินทำงานโดยการป้องกันหรือชะลอการตกไข่ หรือป้องกันการปฏิสนธิเป็นหลัก ยาเหล่านี้ไม่สามารถยุติการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นแล้วได้ (คือเมื่อไข่ที่ปฏิสนธิแล้วได้ฝังตัวในเยื่อบุโพรงมดลูกแล้ว)
Q5: กินยาคุมฉุกเฉินระหว่างให้นมบุตรได้ไหม?
A: ยาคุมฉุกเฉินชนิดลีโวนอร์เจสเตรลโดยทั่วไปถือว่าค่อนข้างปลอดภัยสำหรับสตรีให้นมบุตร ฮอร์โมนอาจผ่านเข้าสู่น้ำนมได้ในปริมาณเล็กน้อย แต่ไม่พบว่ามีผลเสียต่อทารก
Q6: หากมีเพศสัมพันธ์อีกครั้งหลังกินยาคุมฉุกเฉินไปแล้ว ควรทำอย่างไร?
A: ยาคุมฉุกเฉินที่รับประทานไปแล้วจะให้ผลป้องกันการตั้งครรภ์จากการมีเพศสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ก่อน การรับประทานยาเท่านั้น ไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์จากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้ หากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันอีกครั้งหลังจากรับประทานยาคุมฉุกเฉินไปแล้ว ควรใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่น เช่น ถุงยางอนามัย
สรุปบทความ
แม้ว่าบทความนี้จะให้ข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการใช้ยาคุมฉุกเฉิน แต่สถานการณ์และความต้องการของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกันไป การปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรจึงเป็นสิ่งสำคัญหากท่านมีข้อสงสัย มีภาวะสุขภาพที่ซับซ้อน กำลังใช้ยาอื่นอยู่ หรือพบผลข้างเคียงที่รุนแรงหรือไม่ดีขึ้น เภสัชกรสามารถให้คำแนะนำและจ่ายยาคุมฉุกเฉินได้โดยตรงในหลายกรณีผู้ที่ต้องการใช้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มใช้ โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยาอื่นอยู่ รับคำปรึกษากับเภสัชกรมืออาชีพผ่าน LINE Mini App ได้ทันที จากร้านยาออนไลน์ 24 ชม. เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยให้คุณได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมกับความต้องการของคุณ